Friday, July 25, 2008

เพลงจาก 'ศิลปิน' มะเร็ง ถึง 'ผู้ป่วย' มะเร็ง

.. สำหรับผมแล้วการป่วยเป็นมะเร็งไม่ทำให้ผมเป็นอะไรมาก เพราะภูมิคุ้มกันชีวิตดี เคยติดยา เคยติดคุก ตกต่ำกว่านี้ ผมเป็นก็จัดการได้ ต้องขอบคุณพระเจ้า ที่ผมเจอเรื่องแบบนี้ ทำให้ผมมีสติปัญญา ถ้าเกิดมันกลับมาแล้วผมจะต้องตายก็ไม่เป็นไร...



ชื่อของ เคียส-พันตา สรุศิลป์พิศุทธิ์ อาจจะไม่เป็นที่รู้จักมากนัก ในฐานะที่เขาเป็นศิลปินเพลงเพื่อชีวิตที่เคยออกอัลบั้มกับรถไฟดนตรีเมื่อหลายปีก่อนมีเพลงอย่าง "น้ำตาแม่" เป็นเพลงฮิตและอัลบั้มสุดท้ายที่ออกกับลองไลน์มิวสิคก็หลายปีมาแล้ว ในตอนนี้เขาป่วยเป็นมะเร็งระยะที่ 3 ที่ต่อมน้ำลายแม้จะผ่าตัดและฉายแสงแล้ว ก็ไม่แน่ว่าจะหายหรือไม่

" ฉายแสงที่ต่อมน้ำลาย เลยทำให้น้ำลายแห้งกินลำบาก เคยคิดจะลดน้ำหนักมาหลายปีไม่สำเร็จสักที มาสำเร็จคราวนี้เอง" เขาระเบิดเสียงหัวเราะเมื่อถึงตรงนี้

ตอนนี้ พ ันตาเป็นพ่ออุปถัมภ์ของเด็กกำพร้าในมูลนิธิบ้านนกขมิ้น ที่หัวหิน ซึ่งเขาตัดสินใจเข้ามาทำงานเพื่อสังคม ด้วยความคิดที่ว่า คนเราเกิดมาย่อมมีจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ นี่ก็เป็นสิ่งที่เขาทำในฐานะที่ทำได้ ซึ่งทำมาตั้งแต่ก่อนเป็นมะเร็งและหลังเป็นมะเร็งก็ยังทำอยู่ ซึ่งขณะนี้เขาก็พักฟื้นและดูแลเด็กๆ ไปด้วยกับภรรยา

ด้วยความ ที่เขานับถือศาสนาคริสต์ ซึ่งมีคำสอนง่ายๆ ว่าสิ่งไหนที่ดีเข้ามาในชีวิตก็เป็นเพราะพระเจ้าประธานมาให้ สิ่งไหนที่เป็นสิ่งร้ายเข้ามาก็แปลว่าพระเจ้าประสงค์จะใช้เราไปทำอะไรสักอย่ าง

"เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ผมตรวจเจอเนื้องอกที่ต่อมน้ำลายระยะที่ 3 และกำลังลามไปที่ต่อมน้ำเหลืองซึ่งอันตรายมากเพราะอาจจะแพร่กระจายได้ บอกแม่ แม่ก็ร้องไห้ เราก็ร้องไห้ แต่เราก็มีหลักที่ยึดถือมาตลอด ว่าพระเจ้าคงประสงค์จะใช้งานเรา"



ด ้วยโชคดีที่เขาทำงานเพื่อสังคมมาพอสมควรและทำงานเผยแพร่ศาสนาคริสต์มาตลอดก็ ทำให้มีพี่น้องชาวคริสเตียน จากยโสธรที่เคยเจอกันเพียงครั้งเดียวเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว เสนอตัวช่วยรับภาระในส่วนของค่าใช้จ่ายให้ พร้อมกำชับว่าหมอให้ทำอะไรก็ทำตามไป ซึ่งหลังจากผ่าตัดเอาเนื้อมะเร็งออกเขาก็ต้องไปรับการรักษาด้วยการฉายรังสี ที่โรงพยาบาลราชวิถี ซึ่งที่นั่นเป็นสิ่งที่จุดประกายเรื่องทั้งหมด

" ภาพที่ผมเห็นมันน่าตกใจมาก มีคนที่เป็นหนักกว่าผมจะต้องนอนรอเพราะว่าเขาไม่มีเงิน ไม่มีประกันสังคมใช้บัตร 30 บาท หรืออะไรมา ก็ต้องรอ ในขณะที่มะเร็งมันเป็นโรคที่รอไม่ได้ คุณป้าบางคนมีเนื้องอกโผล่มาที่ข้างแก้มน่าสงสารมาก พอดีผมเหลือบไปเห็นป้ายเล็กๆ รับสมัครอาสาสมัครดูแลผู้ป่วย ซึ่งในข้อกำหนดก็บอกว่าต้องเป็นผู้ป่วยเก่าแต่เราเพิ่งเข้ามาก้น่าจะพอได้เห มือนกัน ก็เลยไปบอกพยาบาลไว้ว่าจะสมัคร"

พอหลังจากยื่นความจำนง พร้อมกับรักษาตัวด้วยการฉายแสงไป 7 วัน พันตาก็ได้โอกาสทำหน้าที่อาสาสมัครมอบความสุขและกำลังใจเล็กๆ ให้กับคนป่วย



"ว ันนั้นผมเจ็บปากมากด้วยผลกระทบจากการฉายแสง พอดีมีกิจกรรมตรงนั้นด้วยพยาบาลมาตาม เราเจ็บปากแต่ก็โอเคลองดูก็ได้ในใจก็ท้อนิดหน่อยเพราะตัวเองก็จะเอาไม่รอดจะ ไปให้ความสุขใครได้ เพราะว่าตอนรักษาทรมานมาก คลื่นไส้เวียนหัว สุดท้ายก็หยิบกีตาร์ไปตัวหนึ่ง ขึ้นไปพูดให้กำลังใจเล่าตามความรู้สึกว่าผมเองก็เจ็บปากแต่เราจะมาช่วยกัน เราอาจจะเป็นตะเกียงดวงน้อย ถึงแม้ว่าตะเกียงมันอาจจะใช้ไม่ค่อยได้ แต่ถ้ามีน้ำมันอยู่ก็ช่วยกันปะช่วยกันให้กำลังใจกันไป"

"ก่อน จะจบ คุณหมอกับพยาบาลบอกว่า ในช่วงสุดท้ายนี้ก่อนที่เราจะจากกัน....แล้วก็ร้องเพลงลา ผมก็หันไปหาคนป่วยใกล้ๆ กระเซ้าว่าดูสิเราจะตายอยู่แล้วยังจะมาพูดคำอย่างก่อนจากกัน แล้วก็ร้องเพลงลาเราอีก เขาก็ขำเราก็ขำ"

พันตาว่า หลังจากวันนั้น ผู้ป่วยทุกคนดูดีขึ้นเขาเห็นภาพของผู้ป่วยคนหนึ่งช่วยเข็นรถให้ผู้ป่วยอีกคน ที่อาการหนักกว่า แม้ทั้งตัวจะมีสายระโยงระยางไม่แพ้กันแต่ดวงหน้าก็มีรอยยิ้มสดใส

"ผม ตัดสินใจเลยว่าจะต้องทำเรื่องนี้ต่อไป มีนามบัตรมีอะไรก็ให้เขาไว้ มะเร็งมันเป็นโรคที่เราไม่รู้ว่ามันจะหายไหม แต่สิ่งสำคัญคือเรื่องของกำลังใจ เวลาที่เราแจ่มใสมะเร็งมันจะอาการดีขึ้น อาการก็ชะลอกำลังใจเพิ่มขึ้นก็ต่ออายุออกไป"

โครงการต่อไปของเขาก็คือการนำวงดนตรีมาเล่นให้กำลังใจตรงห้องฉายรังสี ซึ่งเป็นเหมือนไม้เบื่อไม้เมากับผู้ป่วยมะเร็ง ซึ่งมักจะขยาดอาการข้างเคียงจากการรักษาซึ่งจะทรมานมาก ซึ่งทำให้การมาฉายแสงไม่ใช่เรื่องทรมานมากและผู้ป่วยจะได้มานั่งฟังเพลงสบาย ๆ ระหว่างรอฉายแสง

"สำหรับผมแล้วการป่วยเป็นม ะเร็งไม่ได้ทำให้ผมเป้นอะไรมากเพราะภูมิคุ้มกันชีวิตดี เคยติดยา เคยติดคุกตกต่ำกว่านี้ผมเป็นก็จัดการไปได้ก็ต้องขอบคุณพระเจ้า ที่ผมเจอเรื่องแบบนี้มาทำให้ผมมีสติปัญญา ถ้าเกิดมันกลับมาแล้วผมจะต้องตายก็ไม่เป็นไร

"ในฐานะของศิลปิ นคนหนึ่งเราคือคนของประชาชนโดยเฉพาะศิลปินเพลงเพื่อชีวิต แม้เราไม่ป่วยเราต้องมีภาระหน้าที่ ไม่ใช่ว่าจะอวดความเก่งตัวเองนะ หน้าที่เราคือต้องรับใช้สังคม ผมมาเป็นมะเร็งก็ต้องยืนหยัด คิดให้แตก เราจะใช้ชีวิตในวิกฤต กับคนที่เจอเหมือนเรายังไง บอกกล่าวเขา ทำให้เราคุ้มค่า ตายก็ไม่เสียดายเราใช้ในทุกกระบวนการของเรา ใครจะให้ผมไปผับไม่ไป ผมไปเรือนจำ ไปโรงพยายบาลไม่สนค่าตัว

" ก็จะทำตรงนี้ ทำหน้าที่ ในสิ่งที่เราเป็น""

ที่มา Matichon.co.th





สมัครรับข่าวอัพเดตบทความจาก ชมรมคนรักเพลงลูกทุ่ง ทาง E-Mail


เมื่อสมัครแล้วจะมี verify e-mail ไปแจ้งให้คลิกเพื่อยืนยันอีกครั้งหนึ่ง

แล้วท่านจะได้รับข่าวอัพเดทใหม่ๆทาง e-mail ทุกครั้งพร้อมกับเวบนี้

1 comment:

  1. ผมเป็นคนหนึ่งที่มีญาติป่วยเป็นมะเร็งและหมดหวังที่จะรักษาแต่ได้ดูรายการกล่องดำของคุณปัญญาว่ามีเลือดของสัตว์ชนิดหนึ่งช่วยผู้ป่วยมะเร็งได้คือเลือดจรเข้ผมก็ได้สืบหาและก็ได้มาให้ญาติทานผลคือทานไปได้ประมาณ200เม็ดอาการก็ดีขึ้นและทานต่อมาเรื่อยๆปัจจุบันหายแล้วครับและวันที่5ก.ย.2551ผมดูรายการบ้านทุ่งลุงเกษตรทางthaitbsเวลา13.30น.ได้ออกอากาศเกี่ยวกับเลือดจรเข้รักษาผู้ป่วยโรคเลือดโรคเบาหวานและมะเร็งโดยมี ร.ศ วิน เชยชมศรีทำการวิจัยมา8ปีหรือเข้าไปดูรายการได้ที่ www.me.in.th/live หรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม 087-5843722ผมคิดว่าน่าจะเป็นทางออกอีกทางของผู้ป่วยได้

    ReplyDelete