++++

คลิกที่ + - เพื่อเพิ่ม ลดความเร็วในการดูภาพ

===== Photo album =====
  1. รูปถ่ายของ แมงปอ ชลธิชา มาเยือนเวทีไท 18 สค.2550
  2. รูปถ่ายของ น้องเบนซ์ จูเนียร์ บนเวทีไท 18 สค.2550
  3. รูปถ่ายของไผ่ พงศธร มาออกรายการ 07 show 12 สค 50
  4. รูปถ่ายของ ก็อท จักรพันธ์, แพรวา พัชรี, ไผ่ พงศธร, รัชนก ศรีโลพันธ์, ดอกอ้อ ทุ่งทอง บนเวทีไท 11 สค.50
  5. รูปถ่ายพี่นาง ศิริพร อำไพพงษ์ บนเวที 7 สีคอนเสิร์ต 11 สค.2550
  6. รูปถ่ายไหมไทย ใจตะวัน บนเวที 7 สีคอนเสิร์ต 11 สค.2550
  7. ภาพบรรยากาศ งานมหกรรมคอนเสิรต์ "ด้วยรักแด่ครูสลา" 11 มี.ค.50

ค้นหาทุกอย่างในเวบนี้


สถิติผู้เข้าชม คน
Stats (เริ่มนับ 23 ส.ค.2550-10.00 น.)

  1. Clip Video คอนเสิร์ต เสียงอิสาน ณ เวทีไทย ตอนที่ 1 วันที่ 15 ก.ย.2550
  2. clip video ไผ่ พงศธร , พี สะเดิด, แพรวา พัชรี ,ตั๊กแตน ชลดา มาออกรายการจันทร์พันดาว 10 ก.ย.2550
  3. MV 6 เพลงสุดม่วนของ หมอลำคู่เอก ปฤษณา วงศ์ศิริ & บานเย็น รากแก่น
  4. MV รวม 7 คลิปวิดีโอการแสดงสดของ ไหมไทย ใจตะวัน (สมัยอยู่เสียงอีสาน)
  5. MV ศิริพร อำไพพงษ์ โบว์รักสีดำ |

Wednesday, June 24, 2009

ทนายชี้ "หมอ" ไม่มีสิทธิ์แถลงว่าใครบ้า ส่วน "ไกรสร" ถ้าใช้มรดกหมดเตรียมหามาคืน "เพชร" ได้เลย

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์


ทนายเตือน "หมอ" ไม่มีสิทธิ์มาแถลงว่า "เพชร" บ้า แย้ง
ยิ่งถ้าไม่มีผลการตรวจมายืนยัน เพชรมีสิทธิ์ฟ้องเอาผิดได้ ส่วนกรณีที่
"ไกรสร" ฟ้องหมิ่นลูกชายฐานกล่าวหาล่วงละเมิดทางเพศ ทนายแย้ง
ถ้าคิดว่าลูกบ้าแล้วฟ้องทำไม เพราะกฎหมายเอาผิดคนบ้าไม่ได้
ส่วนเรื่องมรดก เพชรมีสิทธิ์ฟ้องได้
ต่อให้ทางไกรสรใช้หมดก็เตรียมหามาใช้หนี้ได้เลย

เป็นที่พูดถึงอย่างมากทีเดียว กับกรณีที่ "ไกรสร แสงอนันต์"
ลุกขึ้นมาประกาศฟ้อง "เพชร สรภพ ลีละเมฆินทร์" ลูกชายสุดที่รักที่เกิดกับ
"พุ่มพวง ดวงจันทร์" ในข้อหาหมิ่นประมาทฐานกล่าวหาล่วงละเมิดทางเพศ
กรณีไม่พอใจที่เพชรให้สัมภาษณ์ว่า สาเหตุที่ไม่สามารถอยู่กับพ่อได้
เป็นเพราะถูกพ่อกระทำมาตั้งแต่อายุ 12 แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าเรื่องอะไร
เนื่องจากบอกไปสังคมก็รับไม่ได้ เป็นเหตุให้เสื่อมเสียชื่อเสียง
ผู้คนรังเกียจ จึงจำเป็นต้องลุกขึ้นมาฟ้องดังกล่าว

ทั้งนี้ไกรสรยังอ้างอีกว่ามี
หมอหลายคนโทร.มาบอกว่าเพชรน่าจะมีปัญหาทางจิต
และแนะนำให้ตนฟ้องศาลเพื่อเอาลูกไปตรวจรักษา
พร้อมเตรียมแถลงข่าวถึงเรื่องดังกล่าวในวันนี้ (22 มิ.ย.)
ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ จังหวัดเชียงใหม่
ซ้ำยังจะเอาหมอมาร่วมแถลงด้วยเพื่อยืนยันความน่าจะเป็นดังกล่าว

เนื่องจากเคสนี้อยู่ในความสนใจ และไม่ค่อยจะมีปรากฏมากนัก ทาง
"ASTVผู้จัดการออนไลน์" จึงได้ติดต่อไปยังทนาย "สาคร ศิริชัย"
ทนายชื่อดังที่ว่าความให้ "หมอกฤษฎ์ คอนเฟิร์ม" คดีฟ้องนักร้องสาว
"ลีเดีย ศรัณย์รัชต์" รวมไปถึงคดีที่ "ไผ่ วันพ้อยท์" ฟ้อง "บ๊วย
เชษฐวุฒิ" และ "เอ๋ พรทิพย์" ข้อหาหมิ่นประมาททำให้เสียชื่อเสียง
กรณีพูดในรายการ "คันปาก" ช่อง 7 ถึงกระแสข่าวลือ "หยาดทิพย์ ราชปาล"
นางเอกช่อง 3 มีข่าวไปอัพยาที่บ้านไผ่ วันพ้อยท์
เพื่อสอบถามถึงการฟ้องร้องดังกล่าว

ทั้งนี้ทนายสาครชี้ว่า หมอไม่มีสิทธิ์จะมาแถลงว่าใครเป็นบ้า
นอกจากจะผิดจรรยาบรรณแพทย์แล้ว
ยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์มาชี้ชัดว่าเพชรเป็นบ้าจริง
ส่วนการที่ไกรสรฟ้องหมิ่นลูกชายนั้น ทนายแย้ง
ถ้าคิดว่าลูกบ้าแล้วฟ้องทำไม เพราะกฎหมายเอาผิดคนบ้าไม่ได้

"ถ้ามีหลักฐานปรากฏชัดว่าคุณเพชรหรือบุคคลอื่นใดพูด
ซึ่งเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงหรือเป็นการขายข่าว
ถ้าเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงทำให้คุณไกรสรเสียหายก็ฟ้องได้ในข้อหาหมิ่น
ประมาท หรือถ้าลงตีพิมพ์ก็สามารถฟ้องหนังสือพิมพ์ได้
ในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ถ้ามีการพูดว่ามีการล่วงละเมิดทางเพศ
หรือการกระทำที่เสียหายอื่นๆ ถือเป็นการใส่ความผู้อื่น
สามารถฟ้องหมื่นประมาทได้เลย"

"ในรูปคดีคุณไกรสรได้เปรียบ เพราะเรื่องนี้ทำให้เขาเสียหายมาก
ผู้หมิ่นประมาทที่พูดออกไป ถึงอีกฝ่ายจะมีหลักฐานมาพิสูจน์หักล้างได้
เพราะถ้าพิสูจน์หักล้างแล้วมันไม่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ศาลห้ามพิสูจน์
แม้เรื่องมันจะจริงก็ตาม แต่มันทำให้เขาเสียหาย
แต่มันก็เป็นเรื่องส่วนตัว"

"เท่าที่ผมเห็นน้องเพชรให้สัมภาษณ์
ผมยังไม่เห็นว่าน้องเขายืนยันว่าพ่อทำอะไร
เขาบอกแค่ว่าขอยุติไม่พูดเรื่องดังกล่าว และขอหยุดเขาพยายามตอบเลี่ยงไป
อย่างนี้ยังไม่เข้าข้อหา ดูแล้วยังไม่มีข้อหาที่ว่าเขาผิด
เพราะเขาไม่ได้ระบุชี้ชัด คือจะต้องเอาข้อความนั้นมาวิเคราะห์ดูว่า
มันเป็นการยืนยันหรือไม่ หนึ่งยืนยันว่าเพชรหมายถึงคุณไกรสรหรือไม่
สองข้อความนั้นทำให้เขาเสียหายหรือไม่
ถ้ามีสองข้อนี้ก็จะเป็นความผิดหมิ่นประมาท
แต่ถ้าเขาให้สัมภาษณ์ว่าคุณพ่อได้ล่วงละเมิดทางเพศเขาตั้งแต่อายุ 12
และจะไม่ขอพูดเรื่องนี้อีกแล้ว อย่างนี้เพชรผิดครับ"

"คือเท่าที่ผมฟังถ้อยคำที่เพชรให้สัมภาษณ์ก็ยังก้ำกึ่ง
เพชรก็ยังไม่ยืนยันอยู่ดี
แต่ถ้าถามว่าถ้าฟ้องไปแล้วในขั้นตอนการไต่สวนจะมีมูลมั้ย
ซึ่งที่เพชรบอกว่า ถูกพ่อกระทำ ซึ่งเป็นเรื่องที่สังคมรับไม่ได้นั้น
มันอาจจะมีหลายเรื่อง เช่น พ่ออาจจะใช้วิธีที่รุนแรงในการอบรมสั่งสอนลูก
นี่คือสมมตินะ เพราะมันก็มีหลายสาเหตุที่สามารถเกิดขึ้นได้
แต่ที่ทำให้คนเข้าใจไปว่าน่าจะเป็นเรื่องนั้น
เพราะมันมีประเด็นนั้นขึ้นมา"

"เหมือนคดีที่ผมฟ้องคุณบ๊วย เชษฐวุฒิ กับ คุณ เอ๋ พรทิพย์
สื่อก็เข้าใจกันไปเองว่าเป็นหยาดทิพย์ แต่ที่คุณนุ้ย(ดีเจ EFM)
พูดไปสืบต้นตอจริงๆ คุณนุ้ยไม่ได้ระบุอย่างนั้น
เขาไม่ได้พูดว่านางเอกชื่ออะไร และไปอัพยาบ้านใครชื่ออะไร
แต่ผู้สื่อข่าวเขาไปคิดเอาเองว่าเป็นนายก. นายข. นายค. แล้วก็มาพูดนี่ผิด
ถามว่าเพชรพูดอย่างนี้มันผิดมั้ย มันไม่ถึงขนาดว่าผิด
แต่ถ้าสื่อเอาไปลงชัดเจน สื่อจะผิดเอง
เหมือนอย่างคุณบ๊วยคุณเอ๋ที่เอาไปพูดในรายการ
แล้วมีการเสริมถ้อยคำระบุชัดเจนลงไปว่าคือใคร แบบนี้ก็เลยฟ้องได้ครับ"

"ดูเจตนาเพชรเขาแล้ว เขาเองก็พยายามจะเลี่ยงไม่พูดถึง
แต่มันเป็นคำถามของสื่อที่พยายามเจาะเพื่อเอาข้อมูล
แต่เพชรเขาก็เลี่ยงที่จะตอบ เจตนาลึกๆ ของเขาก็ไม่ได้อยากพูด
คดีนี้ถ้านำสืบจริงๆ ก็ฟ้องได้ มีมูล แต่ว่าเพชรไม่ได้ระบุนี่
ว่าคุณพ่อล่วงละเมิดทางเพศเขา เป็นถ้อยคำของผู้สื่อข่าว
ที่ไปตีความและเข้าใจกันเอง ทีนี้ก็ต้องสู้กันด้วยหลักฐานครับ
แต่กรณีที่สื่อเอาไปลงแบบมีการระบุชัดเจน
ถ้าคุณไกรสรจะฟ้องสามารถฟ้องเล่มที่ลงได้เลย"

ในกรณีที่ไกรสรฟ้องหมิ่นประมาทเพชร ฐานกว่าหาล่วงละเมิดทางเพศ
และเห็นว่าลูกน่าจะจิตไม่ปกติ จึงอยากฟ้องเพื่อเอาลูกมารักษานั้น
ทนายชี้ว่า หากเพชรไม่มีหลักฐานที่จะเอามาสู้คดี
เนื่องจากเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมานานหลายปี
ทางเดียวที่เพชรจะสู้ได้ก็คือ....
"ถ้าเพชรจะสู้ได้ ก็ในลักษณะที่ว่าเขาได้รับการกดดัน เช่น
เขาเคยพูดว่าพ่อให้ตังค์ใช้วันละ 5-10 ดอลล่าร์
อันนี้ก็ดูเป็นความกดดันอย่างหนึ่ง
ซึ่งอันนี้คนอื่นฟังแล้วอาจจะคิดว่าพ่อไปกดดันลูกหรือเปล่า
แต่เขาไม่ได้ไปบอกว่าพ่อข่มขืนเขา แต่เป็นถ้อยคำของผู้สื่อข่าว
การฟ้องต้องเจาะถ้อยคำอย่างนี้เลย ถ้าจะสู้ก็ต้องสู้ในแง่ที่ว่า
เขาได้รับการกดดันจากการเลี้ยงดู การสั่งสอน การที่ไม่ให้อิสระ
เพราะจากการสัมภาษณ์เขาหมายความอย่างนั้น
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เขาระบุเอง ตรงนี้เพชรเอามาสู้ได้
แต่เขาไม่ได้พูดว่า พ่อไปทำอะไรแบบนั้นเขา"

ส่วนการที่ไกรสรอ้างว่า ที่ฟ้องเพราะอยากเอาลูกกลับมารักษาตัว
เนื่องจากเห็นว่าลูกชายพูดจาเหมือนคนจิตไม่ปกติ
เวลาให้สัมภาษณ์หรือการกระทำบางอย่างเหมือนคนไม่มีสตินั้น ทนายแย้งว่า
ยังมองไม่เห็นประเด็นว่าจะสามารถทำได้ เนื่องจากเป็นแค่การกล่าวหา
ซึ่งในทางกฎหมาย
การจะบังคับใช้ตรงนี้ต้องมีใบรับรองจากแพทย์ก่อนว่าเพชรจิตไม่ปกติจริง
ถึงจะดำเนินการได้

"เท่าที่ดูตอนนี้นี้ยังไม่มีประเด็นนะ
ว่าจะฟ้องแล้วเอามาพิสูจน์ได้ยังไง
ถ้าจะฟ้องเพราะเห็นว่าจำเลยมีความผิดปกติทางจิต แต่ถ้าจะฟ้องหมิ่นประมาท
เพื่อที่จะนำสืบว่าเขามีความผิดปกติทางจิตอย่างนั้น
มันไม่มีประเด็นที่จะทำได้เลย ถ้าจะฟ้องอย่างนั้นมันกฎหมายครอบครัว
กรณีแย่งสิทธิ์อำนาจปกครอง แต่ปรากฏว่าคุณเพชรก็บรรลุนิติภาวะแล้ว
กฎหมายครอบครัวก็ใช้บังคับเขาไม่ได้
มันก็ยังไม่มีประเด็นเรื่องจะเอาตัวเขามาพิสูจน์ได้ยังไง
ผมยังคิดไม่ออกนะครับ มันไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ แต่ในฐานะนักกฎหมายผมคิดว่า
เขาอาจจะมีช่องทางอื่นนะ
เพราะเท่าที่เห็นนี่ยังไม่เห็นช่องทางที่เขาจะเอาลูกมาพิสูจน์ได้ยังไง
ถ้าตัวเขาไม่ยินยอมที่จะไปตรวจ เพราะเขาก็ยืนยันว่าเขาปกติ
และมันก็ไม่มีกระบวนการที่จะไปทำด้วยครับ เขายังไม่ได้เป็นผู้ต้องหา
และตัวเขาเองก็ไม่ได้ยอมรับว่าตัวเองผิดปกติ"

"ถ้าจะฟ้องเพื่อเอาไปพิสูจน์ทางจิตได้ ก็ต้องอย่างคดีของจิตรลดา
ที่ไปแทงเด็กในโรงเรียนเซนต์โยเซฟ แล้วเขาต่อสู้ว่าเขาทำไปเพราะความบ้า
เขาทำไปเพราะตัวเองมีโรคทางจิตเภท
เพื่อที่จะหลักเลี่ยงการรับโทษทางกฎหมาย
ซึ่งในทางกฎหมายคนที่ทำไปเพราะความผิดปกติทางจิต หรือถือว่าเขาป่วย
ถ้าเป็นอย่างนั้นจะต้องยุติการพิจารณาคดี
แพทย์ต้องให้ความเห็นก่อนว่าคนนี้ผิดปกติทางจิตจริง ศาลก็จะยุติ เอาคนๆ
นี้ไปรักษาทางจิตก่อน จนกว่าจะหายค่อยเข้ามาสู่กระบวนการพิจารณา"

"แต่ทีนี้พอเข้าสู่กระบวนการพิจารณา
ถ้าพิสูจน์ได้ว่าในขณะที่จำเลยกระทำความผิดเขาเป็นโรคนี้อยู่จริง
กฎหมายเขาก็ไม่ลงโทษ อย่างนี้เรียกว่าการเอาไปตรวจพิสูจน์
แต่ที่ทางคุณไกสรฟ้องเพื่อเอาไปตรวจพิสูจน์
ผมมองว่ายังไม่มีประเด็นที่จะเอาไปตรวจยังไง
ผมฟังแล้วก็ยังไม่เข้าใจว่าเขาจะเอาไปตรวจยังไง"


"เท่าที่ผมดูตอนนี้ก็ยังไม่มีช่องทางอื่น ที่ผ่านมาที่เขาจะเอาไปตรวจ
เอาในคดีอาญาก่อนถ้าสมมติ ผมหรือคุณทำผิด
แต่ในส่วนของคุณมันเป็นความผิดที่วิปริตร้ายแรงมากๆ
ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างคุณหรือผมจะทำได้
สมมติไปฆ่าคนตายหรือไปแทงเขาอย่างคุณจิตรลดานะ
เขาก็จะต่อสู้คดีว่าในขณะที่เขาทำ เขาเป็นโรคจิตเภท
เขาจะต่อสู้เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องรับโทษ เขายืนยันว่าตัวเองบ้า
แต่สังคมคิดว่าเขาเป็นคนดี แล้วมาทำผิด
ตัวคุณจิตรลดาก็ต้องพิสูจน์ตัวเองว่าในขณะที่เขาทำเขาบ้า
เพื่อเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์ว่าเขาบ้า เพื่อเอามาสู้คดี
อันนี้คือหลักที่เขาทำกันทั่วไป"

"แต่อยู่ๆ จะไปกล่าวหาว่าคนโน้นคนนี้บ้า แล้วจับเขามาตรวจ
กระบวนการผมยังมองไม่เห็น แล้วที่เขาจะฟ้องหมิ่นประมาท
ผมยังมองไม่เห็นประเด็นเลย เพราะถ้าจะฟ้องหมิ่นประมาท
แล้วหาว่าเพชรบ้าเพชรผิดปกติทางจิต เพชรก็ต้องไม่มีความผิดสิ
เพราะเพชรบ้าอยู่ ถ้าเขาพูดเรื่องนั้นในขณะที่เขาบ้า เขาก็ไม่ผิด
เพราะคุณมาอ้างว่าเขาบ้า"

บอก การที่จะมีแพทย์ออกมาร่วมแถลงข่าวพร้อมกับไกรสร
ในวันพรุ่งนี้(22 มิ.ย.) เพื่อยืนยันความน่าจะเป็นว่าเพชรจิตไม่ปกตินั้น
ทนายเตือนต้องรับผิดชอบคำพูดตัวเอง แต่ถ้าเป็นตนจะฟ้องหมอ
ที่มากล่าวหาโดยที่ไม่มีหลักฐาน
"หมอจะต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เขาจะพูดออกไปว่าเพชรบ้า
เพราะคุณหมอเองยังไม่ได้ตรวจตามหลักกระบวนการทางแพทย์เลย
ซึ่งมันต้องใช้ระยะเวลา เพราะกระบวนการที่ศาลเคยพิจารณา
มันต้องผ่านกระบวนการค่อนข้างเยอะ
แค่ดูที่พฤติกรรมที่เขาให้สัมภาษณ์ทางสื่อแค่ 4-5 วัน
แล้วมาบอกว่าคนนั้นคนนี้บ้า อันนี้คุณหมอต้องรับผิดชอบในสิ่งที่พูด
แต่ต้องดูตอนเขาแถลงอีกทีนะครับว่าหมอจะพูดยังไง แต่ถ้าเขาพูดว่าเพชรบ้า
อันนั้นเขาต้องรับผิดชอบครับ"

"ถ้าเป็นแพทย์ทางจิตมาพูด
เขาก็น่าจะมีหลักการตรงนั้นที่น่าเชื่อถือมาพูดยืนยันได้ แต่ถ้าอยู่ๆ
ว่าพูดว่าเพชรบ้า โดยหลักจรรณยาบรรณมันไม่น่าจะถูก
คือการที่จะว่าใครบ้าหรือไม่บ้า ไม่ใช่อยู่ๆ ดูจากการสัมภาษณ์ไม่กี่ครั้ง
เท่าที่ทราบมันต้องมีหลักในการตรวจพิสูจน์ บางทีศาลก็ไม่เชื่อนะ
บางคนแกล้งฉี่กลางศาล เขาก็ไปตรวจ ว่าไอ้นี่ไม่บ้าหรอก
มันแกล้งทำอย่างนี้เป็นต้น"

"ถ้าผมเป็นน้องเพชร ผมฟ้องคุณหมอนะ
ถ้าหมอมาพูดชัดเจนว่าเขาผิดปกติ ทั้งที่เขาไม่เป็นอะไรเนี่ย
คุณหมอจะพูดอะไรต้องระวังนะ เพชรมีสิทธิ์ที่จะดำเนินคดีได้
ถ้าคุณไปพูดออกสาธารณะยืนยันว่าเขาบ้า
นี่ชัดเจนเลยว่าผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา"

"ผมไม่มีความรู้ทางแพทย์นะ
แต่ถ้าคุณหมอฟังจากการที่เพชรให้สัมภาษณ์ไม่กี่ถ้อยคำ
มันไม่น่าจะวินิจฉัยได้ว่าเขาบ้าหรือไม่บ้า
กระบวนการตรวจสอบทางการแพทย์มันน่าจะมีมากว่านั้น
ไม่ใช่มาฟังเฉพาะคำพูดของเขา เพชรต้องผ่านบททดสอบทางการแพทย์ก่อนนะครับ
ต้องมีหลักฐานทางวิชาการอย่างถูกต้องเท่านั้น
และถึงแม้คุณจะตรวจพิสูจน์ว่าเขาบ้าจริงๆ
การที่คุณเอามาเปิดเผยต่อสาธารณะผมว่า
จรรณยาบรรณขอบแพทย์ก็น่าจะมีควบคุมอยู่ สมมติผมไปตรวจแล้วหมอบอกว่าผมบ้า
หรือผมเป็นโรคติดต่อร้ายแรง
แล้วเอามาเปิดเผยต่อสาธารณะมันไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
ถ้าผมเป็นคนไข้ผมฟ้อง เพราะคุณเอาความลับส่วนบุคคลมาเปิดเผย"

"สรุปคือโอกาสที่พ่อจะฟ้องลูกในข้อหาหมิ่นประมาท สามารถทำได้
แต่ว่าคุณเพชรเขาก็มีข้อต่อสู้
ส่วนบุคคลอื่นก็ต้องดูที่ข้อความว่าเขาพูดยังไง แต่ประเด็นที่ชัด
สามารถฟ้องได้เลยก็กรณีที่ภรรยาของคุณไกรสร ไปให้ข่าวว่าคุณอ้อย
ธิดารัตน์ ใจแตกเป็นผู้หญิงไม่ดี
เคสนี้ฟ้องหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาได้เลย
ถึงแม้มันจะเป็นเรื่องจริงก็พูดไม่ได้ครับ"

เผย คดีแบบนี้ต่อให้คำพิพากษาจะเป็นอย่างไร ในแง่ของความรู้สึก
สังคมมักจะเห็นใจผู้เป็นพ่อมากกว่า
เนื่องจากวัฒนธรรมไทยลูกต้องเคารพบุพการี
"คดีแบบนี้ผมยังไม่เคยเจอนะ แต่เอาภาพรวมคือ
พื้นฐานของสังคมไทยกรณีที่พ่อฟ้องลูก ลูกฟ้องพ่อ
พื้นฐานสังคมไทยเด็กเคารพผู้ใหญ่ เคารพกันตามระบบอาวุโส
เราอยู่กันเป็นครอบครัว เราไม่เหมือนฝรั่ง เมื่อคดีนำสู่ศาลไปแล้ว
ศาลท่านเองก็มองในรูปของคดีเหมือนกันว่า ทำไมลูกถึงจะต้องมาฟ้องคุณพ่อ
แล้วทำไมพ่อต้องมาฟ้องลูก
โดยหลักแล้วศาลจะทำการไกล่เกลี่ยว่าทำไมถึงมาฟ้องกัน ถ้ามองในรูปคดีแล้ว
ศาลเองก็มองเหมือนสังคม คือคุณพ่อคุณแม่ยังไงก็ต้องเป็นผู้มีพระคุณ
ที่เราต้องเคารพนับถือ"

"ตามหลักทั่วไปของสังคมไทย
พ่อกับแม่ยังไงก็จะไม่ทำในสิ่งที่เป็นเรื่องเสียหายกับลูก
ถ้าคุณมากล่าวหาว่าคุณพ่อมาทำอย่างโน้นอย่างนี้
คุณจะต้องพิสูจน์หนักมากกว่าปกติ เพราะว่าคนทั่วไป
เขาจะไม่เชื่อว่าพ่อจะทำในสิ่งที่ละเมิดกฎหมายกับลูกได้ขนาดนั้น
หน้าที่ของพ่อกับแม่มีหน้าที่จะต้องเลี้ยงดูบุตร อุปการะให้การศึกษา
นอกเหนือจากข้อกฎหมายเป็นเรื่องของศีลธรรมด้วย
เพราะกฎหมายกลั่นกรองมาจากศีลธรรม
ศาลจะต้องพินิจพิเคราะห์ดูว่าความเป็นธรรมมันอยู่ตรงไหน
คือคำพิพากษาของศาล เขาจะถือเอาความเป็นธรรมเป็นหลัก
แต่ทั้งนี้จะต้องไม่ขัดต่อกฎหมาย แต่มันก็จะย้อนกลับไป
เพราะกฎหมายมันก็ร่างมาจากศีลธรรมนั่นเอง ซึ่งเป็นแบบนี้แล้ว
สังคมก็จะเห็นใจทางฝ่ายพ่อมากกว่า"

ระบุ กรณีที่ไกรสรประกาศจะฟ้องคนที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง
ซึ่งเจ้าตัวอ้างว่าเป็นต้นเหตุทำให้เพชรเปลี่ยนไป พูดจาไม่มีสตินั้น
ตามกระบวนการที่จะพิสูจน์ในชั้นศาล ก็ทำได้ยากเหมือนกัน
"หนึ่งเพชรเขาบรรลุนิติภาวะแล้ว
ถ้าจะฟ้องว่าเอาลูกตัวเองไปปั่นสมองมันก็ไม่ได้
แล้วฟ้องแล้วมันจะพิสูจน์ได้ยังไงว่าเขาล้างสมองลูกคุณ
ตัวคุณเพชรเองเขาก็มีสิทธิ์ในฐานะบุคคลคนๆ นึง
ที่มีสิทธิเสรีภาพเหมือนคนอื่นๆ ตามที่ประชาชนคนไทยคนนึงพึงมี
เขามีสิทธิ์ที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อในสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ได้
ไม่ใช่ว่าคนเราเกิดมาต้องเชื่อแต่คำพูดที่คุณพ่อสั่งสอนมา
มันอาจจะผิดหรือถูกก็ได้ เมื่อเขาบรรลุนิติภาวะแล้ว
เขาก็มีสิทธิ์ที่จะใช้วิจารณญาณที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อใครก็ได้"

"ฉะนั้นมันไม่มีประเด็นที่จะฟ้องเขาได้เลยนะ
คือประเด็นมันไกลเกินไปที่จะพิสูจน์ได้
เป็นการฟ้องที่เราคิดเอาเองว่าเราเสียหาย
แต่กระบวนการที่จะพิสูจน์ในศาลมันทำได้ยาก ถ้าจะฟ้องมันก็ทำได้
แต่ศาลจะเอาอะไรมาเชื่อว่าลูกคุณถูกล้างสมอง เด็กหนีออกจากบ้าน
สาเหตุมันมีตั้งเยอะแยะ เขาอาจจะถูกกดดันในเรื่องอื่นๆ ก็ได้
อย่างไม่ชอบในสิ่งที่เขาอยู่เขาเจอ มันอาจจะไม่ใช่การถูกล้างสมอง"

ส่วนในเรื่องของมรดก แม้ว่าพุ่มพวงจะไม่มีการเขียนพินัยกรรมไว้
แต่เพชรในฐานะที่เป็นลูกชายโดยสายเลือดย่อมมีสิทธิ์ในส่วนแบ่ง
แม้ว่าหากในกรณีที่มรดกนั้นจะถูกใช้ไปหมดแล้ว
เพชรก็สามารถฟ้องเอากับผู้จัดการมรดกให้ชดใช้คืนในส่วนที่พึงจะได้ทุกบาททุก
สตางค์
"มันต้องไปดูที่เงื่อนไข ในกรณีที่ไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้นะ
สิทธิทั้งหลายทั้งปวงบุคคลที่เกี่ยวข้องกับมรดกนี้มีอยู่ 3 คน
ในกรณีที่จดทะเบียนสมรส คุณไกรสร
ในฐานะเป็นสามีก็จะเป็นทายาทผู้มีสิทธิ์ในมรดกนั้นโดยชอบด้วยกฎหมาย
มีสิทธิ์ไดรับมรดก บุคคลที่สองก็คือทายาทชั้นหนึ่งก็คือคุณเพชร
กับคุณแม่ของคุณพุ่มพวง ก็คือคุณยายเล็ก จิตรหาร ส่วนคุณไกรสร"

"สมมติว่าทรัพย์มรดกตรงนี้เป็นสินสมรสทำมาหาได้
ในระหว่างที่หลังจากเขาจดทะเบียนสมรสกัน สินสมรสจะถูกหัก
สมมติว่ามีเงินอยู่ 50 ล้าน หลังจากที่คุณพุ่มพวงเสียชีวิตลง 25
ล้านที่เป็นสินสมรสจะถูกหารครึ่งหนึ่ง หมายความว่า 25
ล้านจะเป็นของคุณไกรสรทันที ส่วนอีก 25 ล้าน จะต้องมาแบ่งเท่าๆ กัน
ระหว่างแม่คุณพุ่มพวง คุณเพชร และคุณไกรสร อันนี้คือการแบ่งมรดกตามกฎหมาย
ฉะนั้นคุณเพชรสามารถฟ้องได้ ในส่วนที่เขาพึงมีพึงได้
ตามส่วนที่เขาควรจะได้ทุกอย่างเลย"

"เพชรเขามีสิทธิ์ที่จะฟ้องเรียกคืนจากผู้จัดการมรดกได้
สมมตมีที่ดินที่ใส่ชื่อคุณพุ่มพวงเป็นเจ้าของมรดก เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์
การจะไปโอนมันต้องอาศัยคำสั่งของผู้จัดการมรดก
ฉะนั้นก็ต้องไปดูว่าเขาไปโอนหรือยัง แบ่งหรือยัง
แต่ถ้าแบ่งไม่ถูกต้องเพชรสามารถฟ้องได้ ผู้จัดการมรดกยักยอกทรัพย์มรดก
ทำการแบ่งมรดกไม่ถูกต้อง ก็ไปฟ้องได้"

"แต่ถ้าเป็นกรณีที่ถ้ามรดกถูกใช้ไปหมดแล้ว หรือถูกใช้ไปแล้ว
เขาก็ต้องฟ้องบังคับให้คุณไกรสรเอามาคืน
เพราะคุณไกรสรมีสิทธิ์เอาไปใช้ได้แค่ในส่วนของเขาเท่านั้น
อย่างที่แจงให้ฟังถ้ามีเงินอยู่ 50 ล้าน ถ้าคุณใช้เกินสิทธิ์ที่คุณพึงได้
เขาก็สามารถฟ้องคุณข้อหายักยอกทรัพย์ได้
แล้วคุณก็ต้องเอามาชดใช้ในส่วนที่เอาไปเกิน"


ที่มา http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9520000070039

No comments:

Post a Comment